เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ มิ.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ค้ำโพธิ์ไง เขาปลูกโพธิ์ ค้ำโพธิ์ โพธิคือปัญญา นี่เป็นสัญลักษณ์ แต่ความจริงปัญญามันเกิดจากเรานะ ดูสิเวลาเขามีการขัดแย้งกัน เห็นไหม เขาต้องแย่งความชอบธรรม

“อธรรมกับธรรมไง”

ธรรมะ เห็นไหม ธรรมะเป็นฝ่ายชนะอธรรม ถ้าเขาต้องแย่งความชอบธรรมกัน ถ้าความชอบธรรม ทำไปแล้วมันจะประสบความสำเร็จ แต่ความชอบธรรม ถ้าเราชอบธรรมแล้ว อธรรมถ้ามันมีแรงนี่ชอบธรรม เราชอบธรรม แต่มันไม่ธรรมชอบ ถ้าธรรมชอบมันจะเกิดความชอบธรรม ธรรมชอบไง นี่เวลามันมีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ การกระทำเป็นความชอบ ถ้าความชอบ เห็นไหม เวลามรรคญาณ นี่ตรัสรู้เองโดยชอบ กับตรัสรู้โดยกิเลสไง

เวลามันตรัสรู้โดยกิเลส มันมีความเห็นของเราครอบงำไปด้วย แล้วเราว่านี่ความถูกต้อง ความถูกต้องของใคร? ถ้าความถูกต้องของกิเลสมันเห็นแก่ตัว พอมันเห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัว ตัวเองได้ประโยชน์แล้วสิ่งนั้นก็เป็นคุณงามความดีไง มันเป็นความดีของกิเลส มันไม่มีสิ่งใดเทียบเคียง เห็นไหม

ศีลธรรม จริยธรรม แล้วจริยธรรมมันมีมาตรวัดตรงไหน? ตรงไหนว่าศีลธรรมจริยธรรมของใคร? ศีลธรรมของใคร? จริยธรรมของใคร? ถ้าจริยธรรมของใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล เห็นไหม ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ คำว่าถือศีลนี่นะ ในลัทธิศาสนาอื่นเขาก็ว่าเป็นศีลของเขา แต่ศีลนี่เอาเนื้อความของศีลมาเทียบกันสิ ถ้าเนื้อความของศีล เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะการถือศีล ๕ สีเลนะสุคะติง ยันติ สีเลนะโภคะสัมปะทา ศีลทำให้ความเป็นสุขนะ ถ้าเรามีศีลมีธรรมของเรา หัวใจเรามันไม่เดือดร้อนก่อนนะ พอไม่เดือดร้อนก่อนมันจะไปทำลายใครไหม?

นี่มันไม่เดือดร้อนนะ มันมีความสุขของมัน มีโภคสมบัติเพราะมันไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย การแสวงหาอันหนึ่ง การเก็บรักษานะ ครอบครัวใดตระกูลใดมีการเก็บรักษา มีการซ่อมแซมของใช้ของสอยในบ้านนั้น ครอบครัวนั้นจะไม่มีวันเสื่อมเลย ครอบครัวใดหาเงินได้มากมายมหาศาลเลยแต่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ครอบครัวนั้นจะมีแต่ความเสื่อม

สีเลนะสุคะติง ยันติ มันมีความสุขในตัวของมันเอง จะมีศีล มีความปกติของใจ ศีลธรรม จริยธรรม ถ้าธรรมชอบ เห็นไหม ถ้าธรรมไม่ชอบ ถ้าคนที่มีกำลังมันเป็นอธรรมก็ได้ ถ้าความเป็นอธรรมนี่ธรรมไม่ชอบ ถ้าธรรมไม่ชอบมันรุกรานเขา มันทำลายเขา แต่มันเป็นวาระ มันเป็นกรรมของสัตว์

สภาคกรรม สภาคะคือความเป็นไปของโลก ความเป็นไปของสังคม ถึงเวลาจุดหนึ่ง นี่เวลาเกิด เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเกิดร่วมสหชาติ เกิดพร้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพาพ้นจากทุกข์ พาพ้นจากทุกข์เราก็แสวงหากัน นี่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ถามว่า

“ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ถ้าคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทำอย่างไร?”

“ให้ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔”

แต่เวลาพระกรรมฐานของเรานะ เวลาคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำอย่างไร? ถ้านึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้นึกพุทโธ ให้นึกพุทโธนะ นึกพุทโธ เห็นไหม พุทโธเป็นชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติ แล้วพุทโธมันอยู่ที่ไหน? นึกถึงพุทโธแล้วพุทโธนี่ใครเป็นคนนึกมัน หัวใจเป็นคนนึกมัน เห็นไหม หัวใจเป็นความรู้สึกเป็นคนนึก พุทโธ มันเกิดขึ้นมาโดยลอยมาจากฟ้าไม่ได้ แต่พุทโธขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านค้นคว้าขึ้นมานี่พุทธะยังไม่มี

คำว่าพุทโธยังไม่มี เห็นไหม ดูสิเวลาอนาถบิณฑิกเศรษฐีไปสาวัตถี ไปหาญาติ บอกนี่พุทธะเกิดแล้ว พุทธะเกิดแล้ว คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว ใครๆ ก็ว่าพุทโธ ใครๆ ก็ว่าสิ้นกิเลส ความสิ้นกิเลส ดูเวลาเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ใครก็ปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดาๆ มันศาสดาของกิเลสไง ศาสดาของกิเลสคือความเห็น ความชอบ มันธรรมชอบหรือเปล่า? มันธรรมชอบโดยกิเลส ธรรมชอบด้วยความพอใจของตัว

เวลามันเป็นความพอใจมันก็มีความสุข มันมีความชุ่มชื่นของมัน เพราะมันพอใจ มันได้ปรนเปรอกิเลสแล้วมันก็พอใจ มันพอใจแต่มันไม่ได้ชำระกิเลส เห็นไหม แต่การขัดเกลา การขัดแย้ง การขัดเกลากิเลส การทวนกระแสของเรา นี่สิ่งใดที่ขัดใจ ความขัดใจเรา นี่ทำความดี ความชอบ ทำสิ่งที่ดีมันขัดใจเราไปหมดแหละ มันจะต้องการนอนแผ่ของมัน มันจะต้องการความสะดวกสบายของมันโดยธรรมชาติของกิเลส

โดยธรรมชาติกิเลสเป็นอย่างนั้นนะ แล้วเวลาสิ่งนั้น เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง นี่ก็ปล่อยวางๆ ปล่อยวางแบบนั้นปล่อยวางแบบไม่มีเหตุผล ปล่อยวางโดยกิเลส ปล่อยวางโดยเห็นแก่ตัว แต่การปล่อยวางตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเหมือนเราทำธุรกิจ ทำสิ่งต่างๆ ทำหน้าที่การงานแล้วเราสละทิ้งไง

เพราะอะไร? เวลามรรคญาณมันเกิดนะ เวลาสมาธิมันเกิดขึ้นมา เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ค้ำโพธิ์ๆ นี่ค้ำหัวใจขึ้นมา โพธิ โพธิคือพุทธะ โพธิคือความรู้ โพธิคือปัญญาของเรา นี่มันเกิดมาจากไหน? ถ้ามันไม่ฝึกฝนมา นี่ธรรมชอบ ธรรมชอบจากข้างใน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

นี่ชนะข้าศึก ชนะฝ่ายตรงข้าม จะคูณด้วยร้อย คูณด้วยพันขนาดไหน สร้างเวรสร้างกรรมหมดเลย แต่ถ้าชนะตนเอง เห็นไหม ชนะเราซะอย่างหนึ่ง ชนะเราคนเดียวดีกว่าชนะทุกๆ คน ถ้าชนะเราคนเดียวโลกจะร่มเย็นเป็นสุข เราก็ร่มเย็นเป็นสุขด้วย โลกจะเร่าร้อนขนาดไหน เราก็จะไม่เร่าร้อนไปกับเขา ไม่เร่าร้อนไปกับเขานะ ดูสิเวลาของใช้ของสอยเรามันอยู่นอกตัวเรา เห็นไหม มันชำรุด มันเสียหายไป ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะมันจะไปเสียใจกับมันไหม?

นี่เรื่องโลกก็เหมือนกัน เราอยู่กับโลกเขา มันต้องชำรุดเสียหายไปเป็นตามธรรมชาติของมันสภาวะแบบนั้น ทรัพยากรมันต้องใช้ไป ต้องสอยไป นี่มันก็หมดไปเป็นธรรมดา มันหมดไปเป็นธรรมดานะ แต่ก็ต้องมีเป็นเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมารองรับๆ มันไป เพราะคนไม่ยอมจำนนหรอก คนนี่ ปัญญาของคนไม่ยอมจำนนสิ่งใด แต่ถ้ามันยังมีใช้มีสอยมันไม่คิด ไม่ขวนขวาย แต่ถ้ามันขวนขวายขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น เวลาเกิดขึ้นมาขนาดไหนมันก็เป็นไป

นี่ธรรมโดยชอบ ถ้าโดยชอบของเรานะมันจะชอบจากข้างใน ถ้ามันธรรมไม่ชอบ ธรรมไม่ชอบ เห็นไหม ความชอบธรรม ถ้าความชอบธรรมต้องชนะนะ ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่ขณะที่เราจะสร้างธรรมะขึ้นมา มันธรรมะของใครก่อน? ธรรมะของกิเลสนะ กิเลสเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม แล้วเราศึกษามา เราค้นคว้ามา เราว่าเป็นธรรมๆ มันเป็นการคาดหมาย

“ผู้ใดปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม”

ความสมควรแก่ธรรมให้มันเป็นสัจจะความจริง ความจริง เห็นไหม ความจริงกับความจริงมันเข้ากัน หัวใจมันปลอม ความคิดนี่มันปลอม ความคิดของเรามันปลอมหมดเลย ปลอมจากสิ่งที่เป็นต้นขั้ว ต้นขั้วนะ

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”

มารเกิดจากความดำริ แล้วความจริงของเราเกิดจากความคิด ความคิด เห็นไหม ความคิดมันเกิดมาจากความดำริ ความเห็น ความคิด ความเห็นของเรามันคิดออกมา มารมันแทรกออกมา นี่ต้นขั้วของเรามันสกปรก ถ้าต้นขั้วของเราสกปรก เราไปศึกษาธรรมขึ้นมามันก็เจือไปด้วย เจือไปด้วย นี่มันไม่ชอบตรงนี้ไง เราถึงต้องกลับมาทำกรรมฐาน ทำความสงบของใจเข้ามา

ถ้าไม่ทำความสงบของใจเข้ามา สิ่งที่คิดขึ้นมา ตรรกะตรึกขนาดไหน ใช้วิตกวิจารขนาดไหน มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลกๆ แต่ แต่มันก็มี มันมีโดยสามัญสำนึก มันมีโดยความเป็นความจริง มันมีโดยข้อเท็จจริง โลกนี้มีเพราะมีเรา โลกนี้มันก็มี ถ้าไม่มีเรา โลกนี้มันก็มีแต่ไม่มีเรา

“โลกนี้มีเพราะมีเรา”

ความคิดเกิดจากกิเลสมันก็เกิดจากเรา ถ้าเกิดจากเราขึ้นมาสิ่งนี้มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นสามัญสำนึก มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ มันถึงว่าเป็นสมมุติบัญญัติ สิ่งที่เกิดขึ้นมาตามความเป็นจริง เราถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา เพื่อจะชำระให้มันสะอาด เพื่อเปิดมันให้เป็นโลกุตตรปัญญา

โลกียปัญญา ศึกษาตรึกขนาดไหน มันมีความรู้ มันมีความเข้าใจทั้งนั้นแหละ นี่ธรรมะของกิเลส แต่มันก็ต้องมีจริงๆ ธรรมะของกิเลสเพราะเราเกิดมาจากกิเลส เราปฏิเสธไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีกิเลสเราจะไม่มาเกิด ในเมื่อต้นเหตุมันมาจากการเกิด ต้นเหตุมันมาจากอวิชชา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ด้วยอวิชชา จะด้วยอวิชชาแต่มันมีโอกาสไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษามันไม่มี มันไม่มีถึงค้นคว้าเอง เห็นไหม ถึงว่าเป็นศาสดา เป็นสยมภู เป็นตรัสรู้เอง ตรัสรู้เองโดยชอบ แต่ของเรานี่ไม่ได้ตรัสรู้เอง เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้เทคโนโลยีมันมีแล้ว สิ่งที่มันมีอยู่แล้ว นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจมันมีอยู่แล้ว แต่เราก็ยังเอากิเลสไปตีความ เอากิเลสไปทำให้มันบิดเบือนไป มันไม่ชอบ เห็นไหม ความชอบธรรมมันจะเป็นความถูกต้องไปหมด

นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชอบธรรม แต่เราทำไม่ชอบ เราทำผิดของเรา เราตีความของเรา เราเห็นของเรา แต่เราเห็นของเราเห็นขนาดไหน ถ้ามันไม่เป็นจริงเราพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้เพราะอะไร? เพราะมันเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพตลอด มันคงที่ไม่ได้

“กุปปธรรม อกุปปธรรม”

กุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะที่เป็นธรรมชาติ เป็นกุปปธรรม เพราะมันแปรสภาพตลอดเวลา ธรรมะที่เป็นปรมัตถธรรมมันเป็นอกุปปธรรม มันไม่แปรสภาพอีก ไม่แปรสภาพมันคงที่อย่างไร? มันมีความรู้สึกอย่างไร? มันเป็นความจริงได้อย่างไร? เห็นไหม สิ่งที่เป็นวัตถุมันแปรสภาพตลอดเวลา สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นความรู้สึก สิ่งที่เป็นความนึกคิด ความคิดที่มันฝังใจ ทำไมมันลบล้างได้ยาก นี่แล้วสัจธรรมที่ความจริง มันเป็นสัจธรรม มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นอริยสัจ

มันเป็นอริยสัจนะ แล้วมันฝังอยู่กับใจ แล้วมันจะลืมได้อย่างไร? มันจะเป็นได้อย่างไร? พระอรหันต์ลืมในอะไร? ลืมในสมมุติบัญญัติ พระอรหันต์ไม่ลืมในอะไร? พระอรหันต์ไม่ลืมในสัจธรรมอันนี้ไง ไม่ลืมในอริยสัจ ไม่ลืมในความเป็นจริงของใจ ใจมันเป็นจริงแล้ว ความรู้สึกเราเป็นจริงมันจะลืมได้อย่างไร? มันเป็นเนื้อเดียวกับใจ มันเป็นใจ ใจมันเป็นเสียเอง

นี่โดยชอบ สัจจะความจริงโดยชอบ ชอบจากข้างนอก ชอบจากข้างใน ความจริงเป็นความจริงนะ ถ้าความไม่จริง ความไม่จริงคือความจำ ความจำมันเลอะๆ เลือนๆ ต้องฟื้นฟูตลอด ต้องทบทวนตลอด แต่อริยสัจไม่ต้องทบทวน มันเป็นสัจจะของมัน มันเป็นอัตโนมัติ กระดิกเมื่อไหร่มันก็เป็นสัจจะตลอดไปๆๆ มันถึงเป็นปัจจุบันตลอด เห็นไหม

นี่สิ่งที่เป็นความชอบ ชอบจากข้างนอก ชอบจากข้างใน โลกเขาแสวงหาความยุติธรรม หาความชอบธรรม แล้วเรารู้จักโลกข้างในของเราไหม? เรารู้จักตัวของเราเองไหม? เรารู้จักชีวิตของเราไหม? เราหาความชอบธรรมให้กับตัวเองได้ไหม? ถ้าเราหาความชอบธรรม หาความจริงให้กับตัวเราเอง เราจะพ้นจากสิ่งที่ครอบงำหัวใจ พ้นจากสิ่งที่ครอบงำเป็นอิสรภาพ เป็นอิสรภาพที่ไม่แปรปรวน

มันจะมีความสุข มันจะเป็นวิมุตติสุขขนาดไหน พิสูจน์ได้จากความทุกข์ พิสูจน์ได้จากหัวใจของเรานี่เอง ไม่ต้องไปค้นคว้าในตำรา ตำราเป็นวิธีการเป็นทฤษฎีที่จะให้เราค้นคว้ากลับมา ชี้กลับมาที่ใจ ชี้กลับมาที่ความรู้สึก แล้วความรู้สึกนี้ออกแสวงหา แล้วทำลายถึงที่สุด ความรู้สึกมันมีสิ่งใดที่มันเศร้าหมอง ที่มันเป็นความผ่องใส ที่มันมีอะไรเจือมาด้วย แล้วเราค้นคว้าของเราขึ้นมาโดยมรรคญาณ มันจะกรองให้สะอาดได้

สิ่งที่สะอาดขึ้นมา เห็นไหม สิ่งนี้ทำได้ ถ้าทำแล้วมันจะมีคุณค่าขนาดไหนคิดดูสิ คุณค่าขนาดไหน สีเลนะสุคะติง ยันติ สีเลนะโภคะสัมปะทา ศีลทำให้ถึงโภคสมบัติ ศีลทำให้ถึงสิ้นสุดแห่งความเป็นทุกข์ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา มีในหัวใจของเรา ค้นคว้าในหัวใจของเรา เกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา เป็นประโยชน์กับตัวเองถ้าคนฉลาด ถ้าคนกึ่ง เรามีความสำคัญมันก็หาความเป็นโลกด้วย โลกกับธรรมอยู่ด้วยกันแต่ไม่เหมือนกัน แต่มันอยู่ด้วยกัน อยู่ที่วุฒิภาวะของคนจะรื้อค้นอย่างไร? จะเป็นประโยชน์อย่างไร?

โลกกับธรรมอยู่กับเรา ใจกับกายก็อยู่กับเรา ทุกข์กับสุขก็อยู่กับเรา ของคู่ แล้วทำให้ของเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่แปรสภาพอีก อยู่กลางหัวใจของเราเท่านั้น เอวัง